วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

TOEFL คือ ??

 



TOEFL ย่อมาจาก Test of English as a Foreign Language (TOEFL อ่านออกเสียงว่า โทเฟิล หรือ โทเฟล) เป็นการทดสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษตามมาตรฐานของภาษาอังกฤษอเมริกัน ซึ่งมีการออกแบบสำหรับใช้ในการประเมินความสามารถทางภาษาของผู้สมัคร เพื่อนำไปใช้เป็นเกณฑ์ในเรื่องของการศึกษาต่อ หรือทำงานในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร โดยผลคะแนนโทเฟลจะใช้ได้เป็นระยะเวลา 2 ปี

โครงสร้างของข้อสอบ                                                                     ข้อ สอบ TOEFL iBT วัดความสามารถการใช้ภาษาใน 4 ทักษะคือ Reading, Listening, Writing, และ Speaking (ข้อสอบรูปแบบ iBT ยากกว่าข้อสอบเดิมมากหากสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.7toefl.com
ข้อสอบ TOEFL iBT ได้เปลี่ยนไปจากข้อสอบ TOEFL CBT และ TOEFL PBT มาก มีการเพิ่มข้อสอบวัดทักษะในการพูดแบบเสนอผลงาน (presentation) และการทดสอบทักษะการใช้ภาษาหลายอย่างพร้อมกัน (integrated task) โดยมีรูปแบบของข้อสอบดังนี้
Reading เป็นการวัดความสามารถในการอ่าน
- 3 เรื่อง (39 ข้อ)
- 60 นาที
- คะแนน 0-30
- ข้อสอบ TOEFL ในส่วนการอ่านมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมน้อยมาก ได้นำโจทย์ประเภทสรุปใจความมาใช้เป็นครั้งแรก และให้คะแนนในบางข้อสูงถึง 3-5 คะแนน
Listening เป็นการวัดความสามารถในการฟัง
- ประกอบด้วยข้อสอบ 2 ประเภท (1) Academic Lecture 4 เรื่อง (24 ข้อ) และ (2)  Campus Conversation 2 เรื่อง (10 ข้อ)
- 60 นาที
- คะแนน 0-30
- มีการเปลี่ยนแปลงข้อสอบจากเดิมบ้าง เช่น บทสนทนาแบบสั้นถูกตัดออกทั้งหมด, มีการนำสำเนียงอื่นที่ไม่ใช้สำเนียง American มาทดสอบ, และการนำโจทย์ประเภทการสื่อความหมายมาทดสอบเป็นครั้งแรกด้วย
Writing เป็นการวัดความสามารถในการเขียน
- ประกอบด้วยข้อสอบ 2 ประเภท (1) Integrated Reading + Listening 1 ข้อ และ (2)  Independent 1 ข้อ
- 55 นาที
- คะแนน 0-30 โดยมีคะแนนดิบ (raw score) สำหรับแต่ละงานเขียนระหว่าง 1-5 คะแนน
- เพิ่มข้อสอบประเภท Integrate taskซึ่งยากสำหรับนักเรียนไทยที่ไม่ถนัดการเขียนในเชิงวิเคราะห์และต้องใช้ ทักษะในการอ่านและฟังเข้ารวมด้วย (หลักสูตรของ Kendall สามารถช่วยคุณได้อ่าน http://www.7toefl.com
Speaking เป็นการวัดความสามารถในการพูด
- ประกอบด้วยข้อสอบ 3 ประเภท (1) Independent 2 ข้อ (2)  Integrated Reading + Listening 2 ข้อ และ (3) Integrated Listening 2 ข้อ
- 20 นาที
- คะแนน 0-30 โดยมีคะแนนดิบ (raw score) สำหรับแต่ละการพูดระหว่าง 1-4 คะแนน
- ผู้ออกสอบได้กล่าวอ้างว่าข้อสอบ Speaking เป็นข้อสอบที่เป็นระบบใหม่แบบ “ยังไม่ถอดด้าม” (New! Everything) แต่หลายข้อมีความคล้ายคลึงกับข้อสอบ TSE (Test of Spoken English) ซึ่งสถาบัน Kendall จะนำมาประยุกต์ใช้ในหลักสูตร TOEFL iBT ของสถาบัน

เก้าอี้ยางพารา,,,สุดยอด !!! หัวคิดคนไทย





         ประเทศไทยมีสวนยางพารามากมายทั้งในภาคใต้และภาคตะวันออก ผู้ประกอบการส่วนมากส่งออกผลผลิตยางพาราในฐานะน้ำยางแผ่นแปรรูป แต่คุณนพชัย ภู่จิรเกษม ลูกหลานเจ้าของสวนยางจังหวัดตรังรายนี้กลับคิดต่างไป เขาเล็งเห็นช่องทางที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมแห่งความยืดหยุ่นขึ้นเอง เมื่อคุณนพชัยมาเรียนออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เขาเลือกวัสดุยางพาราขึ้นมาศึกษาเพราะเป็นสิ่งใกล้ตัวที่เขาคลุกคลีมาแต่เด็ก เขาวิจัยวัสดุตัวนี้อยู่ 3 ปี ซึ่งในระหว่างนั้นก็ได้รับรางวัลเรื่อยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เขาได้รางวัล Innovation Award จากการออกแบบโดยใช้วัสดุชนิดนี้ และได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ  ต่อมาในปี ค.ศ. 2006 ก็ได้รางวัลจากแมกกาซีน I – design มาในปีนี้เขาเพิ่งได้รับรางวัล Design Innovation Contest ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติอีกครั้งและปิดท้ายด้วยรางวัล Designer of the Year ของกรมศิลปากร

จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมลูกยาง         คุณนพชัยเริ่มต้นทำงานนี้เพราะอยากให้คนทั่วไปเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการเพิ่มมูลค่าวัสดุที่มีอยู่ สำหรับงานเฟอร์-นิเจอร์ ลูกยางจากน้ำยางพารานี้ แนวคิดหลักของมันก็คือ “ความยืดหยุ่น” ในหลากหลายมิติ ไม่ใช่แค่ความยืดหยุ่นในตัววัสดุเพียงอย่างเดียว แต่รวมเอาความยืดหยุ่นของวิถีชีวิต และวิธีการแก้ปัญหาด้วยความยืดหยุ่นเข้าไปด้วยเขามองว่าในปัจจุบัน มนุษย์สร้างทรัพยากรใหม่ขึ้นไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงต้องสร้างวัสดุที่รักษาทรัพยากรที่มีอยู่ การตัดป่าเพื่อให้ได้มาซึ่งวัสดุไม้ถือเป็นความสูญเสียเพราะการปลูกป่าใหม่ย่อมไม่ทันต่อการตัดอยู่แล้ว ไม้เศรษฐกิจต้องใช้พลังงานในการแปรรูป ซึ่งก็เป็นการสูญเสียอีกต่อ ส่วนกรณีของน้ำยางพารา เราไม่ได้ตัดไม้แต่เรากรีดยางออกจากต้น ซึ่งถ้าต่อไปเราใช้วัสดุตัวนี้มากขึ้นๆ แล้วต้นยางมีไม่พอ สิ่งที่เกิดตามมาคือเราก็ต้องทำสวนยางเพิ่ม
กลายเป็นพื้นที่ป่าไม้ที่เพิ่มขึ้นไปในตัว ผมมองวัสดุนี้ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำครับ”


สิ่งที่ค้นหาและสิ่งที่ได้มาจากงานวิจัยคุณนพชัยเล่าให้ฟังต่อว่า ในช่วงที่ทำวิจัยน้ำยาง เขาค้นคว้าหาวิธีที่จะทำให้ยางคงรูปได้โดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งในที่สุดก็สำเร็จสามารถทำให้วัสดุยางคงทนได้ที่ 5 ปี ส่วนเรื่องสีหากใช้งานภายนอก ยางย่อมมีโอกาสซีดลง แต่ไม่เกิน 10 % โดยทั่วไปจะรับน้ำหนักได้ราว 100 กิโลกรัม (มากที่สุด 150 กิโลกรัม) และยังมีแบบพิเศษที่รองรับน้ำหนักได้ถึง 200กิโลกรัมด้วยส่วนถ้าจะเติมกลิ่นหอมก็สามารถทำได้

จากนวัตกรรมสู่งานออกแบบหลังจากฝังตัวเองอยู่กับงานวิจัยเพื่อพัฒนาให้วัสดุนี้มีความเสถียรเพียงพอในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ คุณนพชัยก็เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์ยางพาราขึ้นในปี ค.ศ. 2008 ภายใต้ชื่อ “ลูกยางดีไซน์” (www.lookyangdesign.com)
โดยคอลเล็กชั่นแรกของเขาคือ เก้าอี้ลูกยางที่ประยุกต์รูปทรงมาจากลูกยางจริงๆ และเก้าอี้รุ่น Spider, Webberและตอยาง ที่เน้นยางพาราเป็นตัวรับน้ำหนัก และให้ความยืดหยุ่นอยู่บนโครงสร้างสแตนเลสไม่นานเก้าอี้เหล่านี้ก็กลายเป็นดาวเด่นของวงการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ทั้งในงานแสดงและตามหน้านิตยสาร



แนวคิดหลักของลูกยางดีไซน์        ด้วยแนวคิดหลักคือความยืดหยุ่น คุณนพชัยเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่แสดงและใช้ความยืดหยุ่นอย่างชัดเจน อาทิ เก้าอี้ ที่ขายความยืดหยุ่นเต็มที่ เมื่อนั่งแล้วสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสรีระของผู้นั่งหรือของแต่งบ้านอื่นๆที่สามารถยืดได้ในองศาที่อิสระ

สร้างแบรนด์ ลุยตลาด           คุณนพชัยยอมรับว่า ตนยังมีประสบการณ์ด้านการตลาดน้อย เพราะเดิมขลุกอยู่แต่กับงานวิจัยและออกแบบก็ต้องเรียนรู้กันไปครับ แต่โชคดีที่สินค้านี้ได้รับรางวัลต่างๆ มามาก รวมถึงมีความสะดุดตา ทั้งในด้านดีไซน์และการใช้วัสดุที่แปลกใหม่ ตอนนี้ผมมีกลุ่มลูกค้าอยู่แถวสแกนดิเนเวีย และกำลังขยายตลาดเพิ่มไปทางดูไบกับตุรกีด้วยผมจะเจาะตลาดที่มีลักษณะเฉพาะ (Niche market) ไม่ใช่ตลาดแมสครับเพราะจุดขายของเราชัดที่น้ำยางธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีในส่วนของการออกคอลเล็กชั่นใหม่และเพิ่มไลน์สินค้า คุณนพชัยบอกว่าตอนนี้เขาลุยเต็มที่ เพราะประสิทธิภาพของวัสดุยางพาราทำมาได้ถึงจุดที่น่าพอใจแล้ว เขาได้เตรียมออกแบบเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านชุดใหม่ไว้สำหรับปีหน้าเป็นที่เรียบร้อย รอแค่เข้าไลน์ผลิตจริงเท่านั้นวัสดุตัวนี้มีศักยภาพสูงมากสำหรับงานอีกหลายประเภท แต่ผมขอเริ่มต้นที่เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านก่อนครับคุณนพชัยกล่าวทิ้งท้ายไว้เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบและผูู้ประกอบการหัวก้าวหน้าท่านอื่นๆ





อ้างอิง : http://www.tcdcconnect.com/content/blog/?p=2550

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

~ ภาษาอังกฤษที่มักใช้ผิด/ Common Errors in English

~ ภาษาอังกฤษที่มักใช้ผิด/ Common Errors in English

ABLE TO - ‘able to’ มีความหมายว่าสามารถ ซึ่งสามารถใช้ในประโยค Active Voice เท่านั้น ( ไม่สามารถใช้ในประโยค Passive Voice ได้ ) ดังนั้น ‘The budget shortfall was able to be solved by selling brownies.’ จึงเป็นประโยคที่ผิด

AD / ADD
- ‘Advertisement’ หมายถึงการโฆษณา เขียนย่อได้เป็น ‘ad’, ไม่ใช่ ‘add’

ADVICE / ADVISE
- ‘advice’ เป็นคำนาม หมายถึงคำแนะนำ ส่วน ‘advise’ เป็นคำกริยา หมายถึงให้คำแนะนำ ดังตัวอย่าง “When Harry advises(v) people, he gives them advice(n).”

AIN’T

- ‘ain’t’ มีความหมายเท่ากับคำว่า ‘is not’ , ‘are not’ , ‘am not’ แต่ไม่ควรใช้คำนี้ เพราะจะถูกมองว่าไร้การศึกษา(นะจ๊ะ)

ALL

- ‘all’ มีความหมายว่าทั้งหมด ซึ่งเราจะวาง‘all’ ไว้หน้านามที่เราต้องการขยาย แต่เราจะไม่ใช้ ‘all’ ในประโยคปฏิเสธ เช่น “All the pictures didn’t show her dimples” (ให้ตัด ‘all’ ออก)

ALREADY/ALL READY

- ทั้งสองคำนี้ มีความหมายต่างกัน : ‘all ready’ เป็นกลุ่มคำ หมายถึงเตรียมการเสร็จสมบูรณ์ / แต่ ‘already’เป็นกริยาวิเศษณ์ (adverb) หมายถึงเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว(ก่อนเวลาที่กำหนด)

ALL RIGHT/ALRIGHT
- สองคำนี้มีความหมายเหมือนกัน และสามารถใช้ได้ทั้งสองรูปแบบ แต่ในทางภาษาแล้ว การเขียนที่ถูกไวยากรณ์คือ ‘all right’

ALL TOGETHER / ALTOGETHER
- ทั้งสองคำนี้ มีความหมายต่างกัน : ‘all together’ เป็นคำกลุ่มคำ หมายถึง’อยู่ในกลุ่ม’ / ส่วน ‘altogether’ เป็นคำกริยาวิเศษณ์ หมายถึง'อย่างสมบูรณ์'

AND ALSO

- ‘and also’ เป็นการใช้คำฟุ่มเฟือย ดังนั้น ควรเลือกใช้ระหว่าง ‘and’ หรือ ‘also’ เพียงคำใดคำหนึ่งเท่านั้น

ATM

- ‘ATM’ ย่อมาจากคำว่า Automated Teller Machine ดังนั้น จึงไม่ควรพูดว่า ‘ATM machine’ เพราะนั่นเท่ากับคุณพูดว่า ‘Automated Teller Machine machine’

AUTOBIOGRAPHY / BIOGRAPHY

- คำทั้งสองคำนี้ มีความหมายคล้ายกัน คือเป็นการเขียนประวัติส่วนตัว ต่างกันตรงที่ ถ้าคุณเขียน ‘autobiography’ นั่นหมายถึงคุณเขียนประวัติส่วนตัวของคุณเอง แต่ถ้าคุณเขียน ‘biography’ นั่นหมายถึงคุณเขียนประวัติส่วนตัวของผู้อื่น

AVOCATION / VOCATION

- ทั้งสองคำนี้มีความหมายต่างกัน : ‘avocation’ หมายถึง งานอดิเรก ( hobby ) / ส่วนคำว่า ‘vocation’ หมายถึงงานประจำ ( job )

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

* อ้วน !!~



อ้วน!!!!!!!~


        เห็นข่าวเร็วๆนี้ ที่มีหญิงคนหนึงที่อ้วนเอามากถึง 300 กก. ไม่สามารถลุกได้ จนต้องรื้อระเบียง
จากห้องในคอนโด แล้วใช้ไฮดรอลิก รับลงมาจากชั้นบนเพื่อไปส่งที่โรงพยาบาล
ทำให้นึกได้ว่าคำว่าอ้วนนั้นมันมีศัพท์ภาษาอังกฤษมากมาย รวมถึงแสลงก็มากด้วยเหมือนกัน

        ปกติไปใช้คำว่า Fat นี่ มันดูไม่สุภาพเอานะคะ ก็เหมือนๆเวลาเราไปบอกใครว่า
เฮ้เป็นไง ไม่เจอกันนาน อ้วนจังว่ะ?
แสดดดดด ทำไมต้องทักกันแบบนี้ด้วยยย!!!
 
ความอ้วนมันมีระดับค่ะ
ถ้าอ้วนแบบน้ำหนักเกินนิดๆ มันก็คือ - Overweight
พออ้วนเข้ามาอีกหน่อยก็เข้าเกณฑ์ -   Fat
แล้วพออ้วนเอาแบบตุ๊ต๊ะ ก็กลายเป็น  - Obese
 ถ้าคำนามของคำว่า "โรคอ้วน" ก็คือ Obesity นะคะ
 
แต่ขอสงวนคำด่าใครว่า Fat ass หรืออะไรเช่นนี้นะ มันไม่ดี
 
 ------------------------------------------------
แต่มาดูคำแสลงใช้จริงของฝรั่งบ้าง
 
เวลาฝรั่งเขาพูดถึงคนอ้วนๆ มันก็มีแสลง เช่น
 
Chubby
ถ้าให้แปลซับ ก็คงได้ เจ้าตุ้ยนุ้ย จ้ำม่ำ ละมัง
ปกติเหมือนเรียกเด็กๆจ้ำม่ำว่า Chubby

---------------------------------------------
 

I'm not fat.... I'm fluffly

Fluffy นี่เท่ากับอ้วนระดับเลเวล 4 เต็ม 5 เลยนะ
* Fluffy จริงๆหมายถึงขนปุกปุยค่ะ แต่แสลงอีกความหมายคืออ้วน
เลเวลความอ้วนที่อ้างอิงคนอังกฤษส่วนใหญ่มักบอกว่า

1 Big
2 Healthy
3 Husky
4 Fluffy
5 DAMNNNN!!!!  แม่เจ้าโว้ยยย!!!!
 
แต่ถ้าบอกว่าใหญ่กว่า Damn ล่ะ
เลเวล 6 - OH HELL NO!!!